นี่คือการเปรียบเทียบระหว่าง Dividend Yield, P/E Ratio และ ROE — ว่าแต่ละตัวคืออะไร ใช้งานยังไง ข้อดี-ข้อจำกัด และเมื่อไหร่ที่ควรใช้ควบกัน เพื่อช่วยให้การตัดสินใจลงทุนพื้นฐานดีขึ้นครับ
🧮 ความหมายสั้น ๆ
ตัวชี้วัด | ความหมาย |
---|---|
Dividend Yield | % ผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจากเงินปันผล, เทียบกับราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน |
P/E Ratio (Price‑to‑Earnings) | ราคาหุ้น ÷ กำไรต่อหุ้น (EPS) — บอกว่าเราจ่ายเท่าไรเพื่อได้กำไรต่อหุ้น 1 หน่วย |
ROE (Return on Equity) | กำไรสุทธิ ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น — บอกว่าบริษัทใช้ทุนของผู้ถือหุ้นให้เกิดกำไรได้ดีแค่ไหน |
🔍 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวชี้วัด
การใช้ Dividend Yield, P/E และ ROE ร่วมกันสามารถให้ภาพที่ครบถ้วนขึ้นของหุ้น — ทั้งในแง่มูลค่า, ประสิทธิภาพ และผลตอบแทน ดังนี้:
หัวข้อ | วิธีที่แต่ละตัวช่วย | สิ่งที่ได้รู้จากการใช้ร่วมกัน |
---|---|---|
มูลค่า (Valuation) | P/E ให้ภาพว่าหุ้น “แพง” หรือ “ถูก” เมื่อเทียบกับกำไร | ถ้า P/E สูง + ปันผลYield สูง → หุ้นอาจแพงเพราะตลาดคาดว่ากำไรจะเพิ่ม หรือปันผลอาจไม่ยั่งยืน |
ผลตอบแทนจากเงินลงทุน (Return) | Dividend Yield คือรายได้ที่รับได้จริงจากหุ้น (ในรูปเงินสด) | ถ้า ROE สูง & Yield ปานกลาง แปลว่าบริษัทสามารถทำกำไรดี & แจกปันผลได้ — ดีสำหรับผู้ลงทุนเน้นรายได้ |
ประสิทธิภาพใช้ทุน (Efficiency) | ROE แสดงว่าใช้ทุนผู้ถือหุ้นให้เกิดประโยชน์ได้มากแค่ไหน | ถ้า ROE ต่ำ + P/E สูง → นักลงทุนจ่ายมากแต่บริษัทอาจทำกำไรไม่ดีพอ → ความเสี่ยงสูง |
⚠️ ข้อดี & ข้อจำกัดของแต่ละอัน
ตัวชี้วัด | ข้อดี | ข้อจำกัด |
---|---|---|
Dividend Yield | นักลงทุนได้รับเงินสดจริง ได้ผลตอบแทนประจำถ้ามีปันผลสม่ำเสมอ | ● บริษัทอาจลด/งดปันผล ● Yield สูงอาจเกิดจากราคาหุ้นตกหนัก (ไม่ใช่เพราะบริษัทเก่ง) ● ไม่ได้สะท้อนการเติบโตของบริษัท |
P/E Ratio | ใช้ง่าย เปรียบเทียบระหว่างหุ้น บอกว่าเนื้อหากำไร “คุ้มค่า” กับราคาหุ้นไหม | ● P/E สูงอาจรับรู้ถึงความคาดหวังโตในอนาคต ● ถ้ามี EPS ต่ำหรือขาดทุน P/E จะบิดเบี้ยว ● ไม่ได้บอกถึงปันผลหรือประสิทธิภาพทุนตรง ๆ |
ROE | บอก “กำไรจริงเทียบกับทุนที่ผู้ถือหุ้นใส่เข้ามา” ประเมินว่าบริษัทจัดการทุนดีไหม | ● อาจสูงแต่ใช้ทุนเยอะ (leveraged) ● ถ้าทุนผู้ถือหุ้น (Equity) มีโครงสร้างพิเศษ อาจไม่แม่น เช่น กรณีมีการหักค่าเสื่อมหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่ปกติ ● เป็นข้อมูลย้อนหลัง ไม่รับประกันว่าจะซ้ำรอยในอนาคต |
🎯 ตัวอย่าง / กรณีศึกษาใช้ร่วมกัน
เพื่อให้เห็นภาพ ตัวอย่างสมมุติดังนี้:
หุ้น | P/E | ROE | Dividend Yield | วิเคราะห์โดยใช้ร่วมกัน |
---|---|---|---|---|
หุ้น A | 15 เท่า | 20% | 4% | ROE สูง → ใช้ทุนดี กำไรดี P/E ไม่สูงมาก → ไม่ได้จ่ายแพงเกินไป Yield ก็ดี — หุ้นที่น่าสนใจเพื่อถือระยะกลางถึงยาว เน้นทั้งผลตอบแทน & รายได้ประจำ |
หุ้น B | 30 เท่า | 25% | 1.5% | P/E สูงมาก → นักลงทุนคาดว่าจะเติบโตสูง ROE สูง → มีศักยภาพ แต่ Yield ต่ำ → ถ้าปันผลไม่สำคัญ อาจรับได้ ถ้าเติบโตไม่ตามคาด หุ้นอาจเสี่ยง |
หุ้น C | 10 เท่า | 8% | 6% | P/E ค่อนข้างต่ำ → อาจถูก ROE ไม่สูง → กำไรไม่ดีเท่าที่ควร Yield สูง → เหมาะกับคนเน้นรายได้ประจำ แต่ต้องระวังว่า ROE และกำไรอาจไม่แข็งแรง |
📚 บทสรุปแนวทางใช้ในชีวิตจริง
- อย่าใช้ตัวชี้วัดใดตัวหนึ่งเพียงลำพัง ควรดู P/E + ROE + Dividend Yield ร่วมกัน เพื่อดูทั้งมูลค่า, ประสิทธิภาพ และผลตอบแทน
- ถ้า ROE สูง + P/E ต่ำถึงปานกลาง + Dividend Yield ปานกลางถึงสูง → หุ้นประเภท “คุณค่าดี + ผลตอบแทนดี”
- ถ้า P/E สูง → ตลาดคาดหวังเติบโต → ต้องมั่นใจว่า ROE จะโตตาม & กำไรไม่ถูกลดทอน
-
ถ้า Dividend Yield สูงมาก แต่ ROE ต่ำหรือ P/E สูงมาก → อาจเป็นสัญญาณเตือน — บริษัทอาจใช้ทุนไม่ดี หรือมีปัญหาที่ตลาดรับรู้
ที่มา : ChatGPT