กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง (Risk Management Strategy) เป็นหัวใจสำคัญของการลงทุน เพราะไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ไม่มีใครชนะตลาดได้ 100% การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ “อยู่รอดในระยะยาว” และไม่ขาดทุนจนหมดพอร์ต
---
## 🔰 กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงหลักๆ ที่นักลงทุนควรรู้
---
### ✅ 1. **ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)**
* กำหนดจุดที่ยอมขาดทุนไว้ล่วงหน้า เช่น -5% หรือ -10% จากราคาที่ซื้อ
* ช่วยจำกัดความเสียหายหากตลาดไม่เป็นไปตามคาด
> ตัวอย่าง: ซื้อหุ้นที่ 10 บาท ตั้ง Stop Loss ที่ 9 บาท (ขาดทุน 10%)
---
### ✅ 2. **ใช้ Position Sizing**
* ไม่ลงทุนในแต่ละตัวมากเกินไป เช่น ไม่เกิน 5-10% ของพอร์ต
* หากผิดพลาด จะไม่กระทบพอร์ตโดยรวมมาก
> ตัวอย่าง: พอร์ต 100,000 บาท ลงทุนหุ้น A แค่ 10,000 บาท (10%)
---
### ✅ 3. **กระจายความเสี่ยง (Diversification)**
* ลงทุนในหลายสินทรัพย์ หลายกลุ่มอุตสาหกรรม หรือหลายประเทศ
* ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์เฉพาะตัว เช่น หุ้นตกเฉพาะกลุ่ม
> หุ้น, กองทุน, พันธบัตร, ทองคำ, คริปโต ฯลฯ
### ✅ 4. **ไม่ใช้ Leverage เกินตัว**
* Leverage เช่น การซื้อหุ้นแบบมาร์จิ้น (Margin) มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง
* ถ้าใช้มากเกิน อาจขาดทุนหนักจนล้างพอร์ตได้
### ✅ 5. **ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน (Risk/Reward Ratio)**
* ดูว่าโอกาสกำไรคุ้มกับความเสี่ยงหรือไม่ เช่น ต้องการกำไร 15% แต่ยอมขาดทุนแค่ 5% → Risk/Reward = 1:3 (ถือว่าดี)
### ✅ 6. **อย่า “เทหมดหน้าตัก”**
* อย่าลงทุนด้วยเงินทั้งหมดในโอกาสเดียว แม้จะมั่นใจแค่ไหน
* ควรเผื่อเงินสดไว้ซื้อเฉลี่ย หรือตั้งรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
### ✅ 7. **วางแผนทางการเงิน (Financial Planning)
** ควรใช้เงินที่ "พร้อมเสียได้" มาลงทุน ไม่ใช้เงินกู้ หรือเงินที่จำเป็นต้องใช้ในระยะสั้น
### ✅ 8. **มีวินัยในการทำตามแผน**
* การบริหารความเสี่ยงจะไม่มีผล หากขาด “วินัย” เช่น ไม่ยอมขายเมื่อถึงจุด Stop Loss
## 🔍 สรุปสั้น ๆ:
> **"การลงทุนที่ดี ไม่ใช่แค่การทำกำไรได้มาก แต่คือการไม่ขาดทุนหนักจนกลับมาไม่ได้"**